หากคุณกำลังค้นหาข้อมูลเรื่อง ฟิลเลอร์สะโพกราคาเท่าไหร่ เพื่อแก้ปัญหาสะโพกบุ๋มหรืออยากเพิ่มความอวบอิ่มให้กับสะโพก บทความนี้มีคำตอบให้คุณ ปัจจุบันการฉีดฟิลเลอร์สะโพกกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการปรับรูปทรงสะโพกโดยไม่ต้องผ่าตัด
แต่หลายคนยังสงสัยว่า ฟิลเลอร์สะโพกราคาเท่าไหร่ และทำไมถึงมีราคาที่ค่อนข้างสูง บทความนี้จะรวบรวมข้อมูลราคาล่าสุดในปี 2025 พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ และทางเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจ
สารบัญ
ฟิลเลอร์สะโพกราคาเท่าไหร่
ในปี 2025 ฟิลเลอร์สะโพกราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 35,000 – 70,000 บาทต่อ 10 CC ราคานี้จะแตกต่างกันไปตามปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อฟิลเลอร์ ปริมาณที่ใช้ และสถานที่ให้บริการ ปัจจุบันในประเทศไทย มีเพียงฟิลเลอร์ยี่ห้อเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) สำหรับการฉีดเสริมสะโพกโดยเฉพาะ นั่นคือ Variofill จากประเทศเยอรมนี
ฟิลเลอร์ Variofill นี้ถูกออกแบบมาเพื่อการเติมเต็มสะโพกและก้นโดยเฉพาะ มีความเข้มข้นของ Hyaluronic Acid สูงถึง 33 mg/ml ซึ่งมากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปที่ใช้ในใบหน้า บรรจุในหลอดละ 10 CC และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์สะโพก เติมเต็มสะโพกและก้นให้เด้งสวย โดยแพทย์ด้านผิวหนัง
ฟิลเลอร์สะโพกราคาเท่าไหร่ จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ยี่ห้อและคุณภาพของฟิลเลอร์ – ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก อย. จะมีราคาสูงกว่าฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่มีความปลอดภัยมากกว่า
- ปริมาณที่ใช้ – สะโพกเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มาก โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ 10-30 CC ต่อข้าง หรือ 20-60 CC ต่อการรักษาหนึ่งครั้ง ยิ่งใช้มากราคาก็ยิ่งสูง
- ประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ – แพทย์ที่ผ่านการอบรมด้านฟิลเลอร์มาโดยตรงอาจคิดค่าบริการแพงกว่า แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกว่า
- สถานที่ให้บริการ – คลินิกหรือโรงพยาบาลในเมืองใหญ่ หรือสถานที่ที่มีชื่อเสียงอาจมีราคาสูงกว่าสถานที่ทั่วไป
- แพ็กเกจและโปรโมชัน – บางสถานที่อาจมีแพ็กเกจหรือโปรโมชันพิเศษที่ช่วยลดราคาได้
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม ฟิลเลอร์สะโพกราคาถึงสูงมาก เหตุผลหลักมีดังนี้
- ต้นทุนวัสดุสูง – ฟิลเลอร์ Variofill ที่ได้รับการรับรองจาก อย. สำหรับฉีดสะโพกโดยเฉพาะ มีต้นทุนการผลิตและนำเข้าที่สูง
- ความเข้มข้นพิเศษ – ฟิลเลอร์สำหรับสะโพกมีความเข้มข้นสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและความคงทนที่เหมาะสมกับบริเวณสะโพก
- เทคนิคเฉพาะของแพทย์ – การฉีดฟิลเลอร์สะโพกต้องอาศัยประสบการณ์ของแพทย์ เนื่องจากบริเวณนี้มีเส้นประสาทสำคัญ เช่น Sciatic Nerve ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
- ปริมาณที่ต้องใช้มาก – สะโพกเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมากกว่าการฉีดใบหน้าหลายเท่า
- ความจำเป็นของอุปกรณ์พิเศษ – การฉีดสะโพกต้องใช้เทคนิคและอุปกรณ์พิเศษเช่น เข็มทู่ (blunt cannula) ที่ช่วยให้การฉีดมีความปลอดภัยมากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจเรื่อง ฟิลเลอร์สะโพกราคาเท่าไหร่ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับจำนวน CC ที่ต้องใช้สำหรับปัญหาต่างๆ และราคาโดยประมาณ
ปัญหา ปริมาณที่ใช้ต่อข้าง ราคาโดยประมาณ (บาท)
Hip Dips (สะโพกบุ๋มเล็กน้อย) 15-20 CC 35,000-70,000
สะโพกบุ๋มปานกลาง 20-50 CC 70,000-175,000
สะโพกบุ๋มมาก 50-100 CC 175,000-350,000
ก้นห้อย/ก้นแบน 100 CC ขึ้นไป 350,000 ขึ้นไป
หมายเหตุ: ราคาข้างต้นเป็นราคาต่อข้าง หากทำทั้งสองข้าง ราคาจะเพิ่มเป็นสองเท่า โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์สะโพกจะทำทั้งสองข้างเพื่อให้เกิดความสมมาตร ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ประมาณ 70,000 – 350,000 บาทต่อครั้ง
ทำไมฟิลเลอร์สะโพกถึงแพงกว่าฟิลเลอร์ใบหน้า?
เนื่องจากต้องใช้ปริมาณมากกว่า (10-60 CC เทียบกับ 1-2 CC สำหรับใบหน้า) และฟิลเลอร์ที่ใช้มีความเข้มข้นพิเศษเพื่อให้เหมาะกับบริเวณสะโพก
มีวิธีลดค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์สะโพกหรือไม่?
บางคลินิกอาจมีโปรโมชันหรือแพ็กเกจพิเศษ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเลือกสถานที่หรือฟิลเลอร์ที่ราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจเสี่ยงต่อการใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน
การฉีดฟิลเลอร์สะโพกเหมาะกับทุกคนหรือไม่?
ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการผลลัพธ์ถาวร ในกรณีนี้ การผ่าตัดเสริมซิลิโคนอาจคุ้มค่ากว่าในระยะยาว
บทสรุป
ฟิลเลอร์สะโพกราคาเท่าไหร่ เป็นคำถามที่มีคำตอบไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 35,000 – 70,000 บาทต่อ 10 CC หรือประมาณ 70,000 – 210,000 บาทสำหรับการทำทั้งสองข้าง และเนื่องจากผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี จึงต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการทำซ้ำด้วย
สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงสะโพกโดยไม่ต้องผ่าตัด และมีงบประมาณเพียงพอ การฉีดฟิลเลอร์สะโพกอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หากคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาว การผ่าตัดเสริมซิลิโคนหรือวิธีอื่นๆ อาจเหมาะสมกว่า
ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับรูปร่างและความต้องการของคุณ และเลือกใช้บริการจากสถานที่ที่มีมาตรฐาน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ