การมีร่องแก้มที่ลึกเป็นปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย แม้คุณจะยังอายุน้อยก็ตาม ปัจจุบันมีวิธีแก้ไขปัญหานี้ด้วยการฉีด ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ซึ่งเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การเปรียบเทียบ ฟิลเลอร์ร่องแก้มก่อนและหลัง ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งความเรียบเนียน ความเต่งตึง และมิติของใบหน้าที่ดูสมดุลมากขึ้น ภาพ ฟิลเลอร์ร่องแก้มก่อนและหลัง แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวิธีการนี้ที่ช่วยแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึกได้อย่างเห็นผลทันที
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับฟิลเลอร์ร่องแก้ม สาเหตุของการเกิดร่องแก้มลึก วิธีการรักษา และการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์
สารบัญ
ฟิลเลอร์ร่องแก้มคืออะไร
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณร่องแก้มที่ลึก เพื่อเติมเต็มส่วนที่ยุบตัวหรือหย่อนคล้อย ฟิลเลอร์จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกักเก็บความชุ่มชื้นใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูเต่งตึงและร่องแก้มตื้นขึ้น

ฟิลเลอร์ร่องแก้มได้รับความนิยมเพราะ
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลเป็น
- ทำหัตถการรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที
- เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ
- สารเติมเต็มสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง
- ใบหน้าดูเรียบเนียนและเป็นธรรมชาติ
การเปรียบเทียบภาพ ฟิลเลอร์ร่องแก้มก่อนและหลัง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง ใบหน้าดูเต่งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยที่ยังคงความเป็นธรรมชาติและเป็นตัวเอง
4 สาเหตุหลักของการเกิดร่องแก้มลึก และวิธีแก้ไข
ร่องแก้มลึกไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปัญหานี้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 สาเหตุหลัก ดังนี้

- การยุบตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา: พบมากในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป การยุบตัวของกระดูกทำให้เนื้อแก้มด้านบนหย่อนลงมากองเหนือร่องแก้ม ทำให้ร่องแก้มดูลึกมากขึ้น วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาร่วมกับฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อยกโครงสร้างผิวด้านบนขึ้น
- การยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้มโดยตรง: พบได้ตั้งแต่อายุ 20-30 ปี ทำให้ร่องแก้มลึกแม้ว่ากระดูกใต้ตาจะยังไม่ยุบตัวมาก สามารถแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มโดยตรง โดยต้องฉีดในชั้นกระดูกใต้กล้ามเนื้อและในจุดที่ต่ำกว่าร่องแก้มเล็กน้อย
- การยิ้มบ่อยๆ จนกล้ามเนื้อแข็งแรงเกินไป: กล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้มดึงร่องแก้มให้ลึกมากขึ้น สามารถแก้ไขด้วยการฉีดโบท็อกซ์เทคนิค Dermotoxin ร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์เทคนิค Myomodulation เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น หรือโดนแดดบ่อย: ทำให้ชั้นผิวบางลงและเกิดริ้วรอยตื้นๆ บริเวณร่องแก้ม แก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์โมเลกุลเล็กเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในชั้นผิว
เมื่อดูภาพ ฟิลเลอร์ร่องแก้มก่อนและหลัง จะเห็นว่าแพทย์ต้องวิเคราะห์สาเหตุของแต่ละบุคคลและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ร่องแก้มเหมาะกับใคร? คำตอบที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจฉีด
ยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่นิยมใช้และปริมาณที่เหมาะสม
การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมสำหรับร่องแก้มมีความสำคัญมาก เนื่องจากผิวบริเวณร่องแก้มบางและแห้ง จึงต้องเลือกฟิลเลอร์ที่มีเนื้อนิ่ม กระจายตัวดี และเรียบเนียนไปกับผิว ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสำหรับฟิลเลอร์ร่องแก้ม ได้แก่
Juvederm
- Juvederm Ultra Plus (อยู่ได้ 12 เดือน)
- Juvederm Voluma (อยู่ได้ 18 เดือน)
- Juvederm Volift (เนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับคนผิวบาง)
- Juvederm Volux (เนื้อแข็ง คงรูปได้ดี เหมาะสำหรับฉีดร่องแก้มชั้นลึก)
Restylane
Restylane Volyme (เนื้อนิ่มปานกลาง ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการฉีดร่องแก้ม)
Belotero
Belotero Intense (เนื้อแข็ง ยืดหยุ่นดี ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มปริมาตรของชั้นผิว)
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้จะแตกต่างกันตามความรุนแรงของปัญหา
- อายุ 30-40 ปี ร่องแก้มไม่ลึกมาก: ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC ทั้งสองข้าง
- อายุ 50 ปีขึ้นไป ปัญหาร่องแก้มลึกมาก: อาจต้องใช้ 3-4 CC และอาจต้องทำ Hifu หรือร้อยไหมร่วมด้วย
เมื่อดูภาพ ฟิลเลอร์ร่องแก้มก่อนและหลัง จะเห็นว่าการเลือกชนิดและปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อความเป็นธรรมชาติของผลลัพธ์
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
การเตรียมตัวที่ดีก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
- ศึกษาข้อมูลและเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน: ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตถูกต้อง แพทย์มีประสบการณ์ และมีรีวิวดีจากผู้ใช้บริการจริง
- ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด: แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และความคาดหวังจากการรักษา เพื่อให้แพทย์ออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
- งดยาและสารบางชนิด: ควรงดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 7 วันก่อนทำ เช่น แอสไพริน
- ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, วิตามิน E สูง และน้ำมันปลา
- งดแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำ
- งดสูบบุหรี่: ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนและหลังทำ เนื่องจากนิโคตินมีผลต่อการไหลเวียนของเลือด
- งดการออกกำลังกายหนัก: ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดแรงอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- ประคบเย็น: ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นระยะๆ ครั้งละ 5-10 นาที ต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด: ไม่ควรแตะ กด นวด หรือถูบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงความร้อน: งดกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายร้อนอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เช่น การออกกำลังกายหนัก
- ซาวน่า, อบไอน้ำ, อาบน้ำร้อน และเปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตร ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานขึ้น
- นอนหงาย: ควรนอนหงายและหนุนหมอนสูงในคืนแรกหลังการฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
- สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมมาก เขียวช้ำนาน ผิวซีดหรือเป็นจ้ำม่วง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
บทสรุป
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาร่องแก้มลึกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยข้อดีคือไม่ต้องผ่าตัด เห็นผลทันที และฟื้นตัวเร็ว ภาพเปรียบเทียบ ฟิลเลอร์ร่องแก้มก่อนและหลัง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจ ใบหน้าดูเรียบเนียน เต่งตึง แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งประสบการณ์ของแพทย์ คุณภาพของฟิลเลอร์ การวิเคราะห์สาเหตุของร่องแก้มลึกอย่างถูกต้อง และการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการรักษา
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าคุณกำลังพิจารณาทำฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ และตั้งความคาดหวังที่สมเหตุสมผล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจมากที่สุด