หลายคนอาจเคยได้ยินว่าบ้างว่า อาการแพ้ฟิลเลอร์ สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งที่ฉีดฟิลเลอร์แท้ ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่าสาเหตุเกิดจากอะไร มีสัญญาณเตือนอย่างไรว่ากำลังแพ้ และมีวิธีการรักษาอย่างไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความนี้เลยค่ะ
สารบัญแพ้ฟิลเลอร์
อาการแพ้ฟิลเลอร์ คืออะไร
อาการแพ้ฟิลเลอร์ คือปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อสารฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าสู่ผิวหนัง โดยร่างกายจะมองว่าสารนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอม แม้ว่าฟิลเลอร์ส่วนใหญ่จะผลิตจากสารที่คล้ายคลึงกับสารในร่างกาย เช่น กรดไฮยาลูรอนิค (HA) แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดการแพ้ได้ประมาณ 0.3-4.25% ของผู้รับการรักษาทั้งหมด สาเหตุหลักของการแพ้ฟิลเลอร์ได้แก่
- การแพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ เช่น สารกันเสีย หรือโปรตีนที่หลงเหลือในกระบวนการผลิต
- เทคนิคการฉีดที่ไม่เหมาะสม ทำให้ฉีดผิดชั้นผิวหนัง
- ความไวของระบบภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
- การติดเชื้อภายหลังการฉีด
การแพ้เฉียบพลัน (Acute Reaction)
- เกิดขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมงหลังการฉีด
- มักมีอาการบวมแดง ร้อน คัน หรือปวดบริเวณที่ฉีด
- ในกรณีรุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก คลื่นไส้ หรือหน้ามืด ซึ่งเป็นสัญญาณของการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
- การศึกษาโดย Beleznay et al. (2020) พบว่าการแพ้เฉียบพลันเกิดขึ้นประมาณ 0.5-1.5% ของการฉีดฟิลเลอร์ทั้งหมด
การแพ้เรื้อรัง (Delayed Reaction)
- เกิดขึ้นหลังการฉีดตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ไปจนถึงหลายเดือน
- มักแสดงออกเป็นก้อนแข็ง (granuloma) การอักเสบเรื้อรัง หรือการเกิดฝี
- สาเหตุส่วนใหญ่มาจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิด Type 4 (delayed hypersensitivity)
- ข้อมูลจาก American Academy of Dermatology (2022) ระบุว่าพบได้น้อยกว่าแบบเฉียบพลัน ประมาณ 0.2-0.8% แต่มักรักษายากกว่า
อาการที่พบบ่อยในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- บวมรุนแรงผิดปกติ: บวมที่มากกว่าปกติและลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง เช่น บวมจนตาปิด หรือริมฝีปากบวมจนผิดรูป
- รอยแดงที่ขยายวง: รอยแดงที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ หรือมีลักษณะเป็นทางยาว
- ปวดแสบปวดร้อนรุนแรง: ความเจ็บปวดที่มากกว่าความไม่สบายทั่วไปหลังการฉีด
- อาการคัน: คันบริเวณที่ฉีดหรือมีผื่นลามไปบริเวณอื่น
- ผิวซีด: บริเวณที่ฉีดมีสีซีดผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงการอุดตันของเส้นเลือด
การศึกษาจาก Plastic and Reconstructive Surgery Journal (2020) พบว่าประมาณ 87% ของอาการแพ้เฉียบพลันจะแสดงอาการภายใน 24 ชั่วโมงแรก และหากได้รับการรักษาทันที โอกาสฟื้นตัวสมบูรณ์มีสูงถึง 96.5%
อาการรุนแรงที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อแพทย์หรือเข้ารับการรักษาฉุกเฉินทันที สังเกตอาการ ดังนี้
- ผิวเขียวคล้ำหรือเปลี่ยนสี: บ่งชี้ถึงการขาดเลือดของเนื้อเยื่อ (Vascular Occlusion) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาภายใน 4-6 ชั่วโมง
- ปวดรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ: อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือการอุดตันของเส้นเลือด
- ตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น: อาจเกิดจากฟิลเลอร์เข้าสู่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา ซึ่งต้องรักษาภายใน 60-90 นาที
- หายใจลำบาก คลื่นไส้ หน้ามืด: สัญญาณของการแพ้รุนแรงแบบ Anaphylaxis ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ก้อนแข็งที่เกิดขึ้นเร็วและมีอาการปวด: อาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่งหรือการติดเชื้อเฉียบพลัน
การศึกษาโดย DeLorenzi (2017) ในวารสาร Dermatologic Surgery พบว่า การอุดตันของเส้นเลือดจากฟิลเลอร์พบได้ประมาณ 0.001% ของการฉีดทั้งหมด โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะเนื้อตายถึง 56.7% หากไม่ได้รับการรักษาภายใน 24 ชั่วโมง
อาการแพ้ระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดนานหลายเดือน
อาการแพ้ระยะยาวมักพบได้น้อยกว่าแต่อาจเกิดขึ้นได้แม้หลังฉีดไปหลายเดือน
- การเกิดก้อน Granuloma: ก้อนแข็งที่เกิดจากปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอม การศึกษาจาก International Journal of Dermatology (2018) พบได้ 0.01-0.1% โดยเฉพาะในฟิลเลอร์ประเภทที่ไม่ใช่ HA
- รอยแดงหรือจ้ำเรื้อรัง: ผิวบริเวณที่ฉีดมีสีแดงหรือคล้ำเป็นเวลานาน
- เกิดฝีหรือติดเชื้อในระยะเวลาต่อมา: โดยเฉพาะในกรณีที่มีการกระตุ้นจากการติดเชื้อในร่างกาย
- ก้อนฟิลเลอร์เคลื่อนตำแหน่ง: ฟิลเลอร์อาจเคลื่อนย้ายจากตำแหน่งเดิมได้หลังฉีดหลายเดือน
- Biofilm: เป็นการติดเชื้อแบบเรื้อรังที่แบคทีเรียสร้างชั้นป้องกันตัวเอง ทำให้รักษายาก
ข้อมูลจากการศึกษาใน Journal of Cutaneous and Aesthetic Surgery (2022) พบว่า การแพ้ระยะยาวแบบ Delayed Hypersensitivity สามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งหลังฉีด 2 ปี แต่ส่วนใหญ่ (73.4%) จะเกิดภายใน 3-12 เดือนหลังการฉีด
ภาวะฉุกเฉินจากฟิลเลอร์ที่พบบ่อย
- ผิวซีดหรือเขียวคล้ำทันทีหลังฉีด
- ปวดรุนแรงที่ไม่สัมพันธ์กับการฉีด
- ผิวเย็นผิดปกติบริเวณที่ฉีด
- มีรอยปื้นลายมรามอร์คล้ายร่างแห (Livedo Reticularis)
- ในกรณีที่เกิดกับใบหน้า อาจมีอาการตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
วิธีรักษาอาการแพ้ฟิลเลอร์ที่ได้ผล
การรักษาฉุกเฉินด้วย Hyaluronidase
Hyaluronidase เป็นเอนไซม์ที่มีความสามารถในการย่อยสลายกรดไฮยาลูรอนิค ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของฟิลเลอร์ประเภท HA โดยเอนไซม์นี้สามารถสลายฟิลเลอร์ได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีการอุดตันเส้นเลือด
- ฉีดในขนาดสูง 300-500 ยูนิต ทันที
- ฉีดซ้ำทุก 60-90 นาทีจนกว่าอาการจะดีขึ้น
- นวดบริเวณที่ฉีดอย่างแรงเพื่อช่วยกระจายเอนไซม์
กรณีการแพ้ฟิลเลอร์ทั่วไป
- ฉีดในขนาด 30-150 ยูนิต ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และความรุนแรง
- อาจฉีดซ้ำหลังจาก 24 ชั่วโมงหากอาการไม่ดีขึ้น
โดยมีข้อควรระวังในก่อนแก้ไขอาการแพ้ฟิลเลอร์ ดังนี้
- ทดสอบการแพ้ก่อนฉีด Hyaluronidase เสมอ
- ผลข้างเคียงอาจเกิดอาการบวม แดง หรือคันบริเวณที่ฉีด
- การฉีดเอนไซม์มากเกินไปอาจสลายฟิลเลอร์มากเกินความต้องการ
- มีรายงานการแพ้ Hyaluronidase ประมาณ 0.1% ของการใช้งาน
ผลการศึกษาโดย Beleznay et al. (2021) พบว่า การรักษาด้วย Hyaluronidase ในกรณีอุดตันเส้นเลือดมีประสิทธิภาพถึง 92-96.5% หากได้รับการรักษาภายใน 4 ชั่วโมงแรก แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเหลือเพียง 40-50% หากเริ่มรักษาหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว
วิธีเลือกแพทย์ที่น่าเชื่อถือ
- แพทย์ควรจบการศึกษาเฉพาะทางด้านผิวหนัง ศัลยกรรมตกแต่ง หรือศัลยกรรมใบหน้า
- มีประสบการณ์ฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 2-3 ปี
- ผ่านการอบรมหลักสูตรเฉพาะทางด้านการฉีดฟิลเลอร์
- มีใบประกอบวิชาชีพที่สามารถตรวจสอบได้
การประเมินก่อนการรักษา
- แพทย์ที่ดีจะประเมินประวัติการแพ้และโรคประจำตัวอย่างละเอียด
- มีการถ่ายรูปก่อนการรักษาเพื่อใช้เปรียบเทียบ
- อธิบายทางเลือกการรักษา ข้อดี-ข้อเสีย และความเสี่ยงอย่างครบถ้วน
- ไม่รีบร้อนหรือกดดันให้ตัดสินใจ
เครื่องมือและการเตรียมพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉิน
- คลินิกต้องมี Hyaluronidase พร้อมใช้ตลอดเวลา
- มีอุปกรณ์สำหรับการช่วยชีวิตฉุกเฉิน
- มีระบบส่งต่อผู้ป่วยในกรณีเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
ตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือ
- มีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงที่สามารถตรวจสอบได้
- แสดงผลงานก่อน-หลังที่สม่ำเสมอและสมจริง
- ราคาไม่ถูกเกินไปจนน่าสงสัย (ฟิลเลอร์คุณภาพดีมีต้นทุนสูง)
- มีการติดตามผลหลังการรักษา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการแพ้ฟิลเลอร์
หากเคยแพ้ฟิลเลอร์ คุณสามารถกลับมาฉีดได้อีก แต่ต้องระมัดระวังมากขึ้น ควรรอให้อาการแพ้หายสนิทอย่างน้อย 3-6 เดือนก่อน และเปลี่ยนชนิดหรือยี่ห้อฟิลเลอร์ เพราะการแพ้มักเกิดจากส่วนประกอบเสริมในฟิลเลอร์นั้นๆ ก่อนฉีดใหม่ ควรทำการทดสอบแพ้และอาจใช้ยาต้านฮิสตามีนล่วงหน้า รวมถึงฉีดในปริมาณน้อยกว่าเดิม หากเคยแพ้รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือพิจารณาทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น โบท็อกซ์ หรือเลเซอร์กระชับผิว
อาการแพ้ฟิลเลอร์บางประเภทสามารถหายเองได้ โดยเฉพาะอาการแพ้เล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น รอยแดง บวมเล็กน้อย หรือคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายได้ภายใน 3-7 วัน ด้วยการประคบเย็นและทานยาต้านฮิสตามีน อย่างไรก็ตาม อาการแพ้ปานกลางถึงรุนแรง เช่น บวมมาก รอยแดงลุกลาม เจ็บปวดต่อเนื่อง หรือมีก้อนแข็ง มักไม่หายเองและต้องได้รับการรักษา เช่น การฉีด Hyaluronidase เพื่อสลายฟิลเลอร์ หรือการใช้ยาสเตียรอยด์ โดยเฉพาะอาการแพ้แบบช้าที่เกิดเป็นก้อนแข็งหรืออักเสบเรื้อรัง แทบจะไม่มีโอกาสหายเองและจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น
อาการแพ้ฟิลเลอร์แตกต่างจากผลข้างเคียงปกติที่ความรุนแรงและระยะเวลา ผลข้างเคียงปกติ เช่น รอยแดง บวมเล็กน้อย หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด จะเกิดขึ้นเฉพาะจุดที่ฉีด และหายไปเองภายใน 2-3 วัน ในขณะที่อาการแพ้มักมีลักษณะรุนแรงกว่า เช่น บวมมากผิดปกติ รอยแดงที่ลุกลามเกินบริเวณที่ฉีด อาการคันหรือแสบร้อนรุนแรง และไม่ดีขึ้นหลัง 48-72 ชั่วโมง นอกจากนี้ อาการแพ้อาจเกิดขึ้นทันทีหรือเกิดขึ้นช้าหลังการฉีดหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ซึ่งต่างจากผลข้างเคียงปกติที่เกิดขึ้นทันทีและค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
สรุป
อาการแพ้ฟิลเลอร์เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสารที่ฉีด สาเหตุมักเกิดจากส่วนประกอบในฟิลเลอร์ เทคนิคการฉีดไม่เหมาะสม หรือความไวของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาการแพ้มีสองประเภท คือ แบบเฉียบพลัน (24-72 ชั่วโมง) แสดงอาการบวมแดง ร้อน คัน และแบบเรื้อรัง (หลัง 2 สัปดาห์) มักเป็นก้อนแข็งหรืออักเสบเรื้อรัง สัญญาณอันตรายได้แก่ บวมรุนแรง รอยแดงขยายวง ปวดมาก ผิวซีดหรือเขียวคล้ำ ตาพร่ามัว หรือหายใจลำบาก
การรักษาใช้ Hyaluronidase ในขนาดสูงสำหรับการอุดตันเส้นเลือด และขนาดต่ำกว่าสำหรับการแพ้ทั่วไป มีประสิทธิภาพสูงหากรักษาภายใน 4 ชั่วโมง ผู้ที่เคยแพ้สามารถฉีดใหม่ได้หลังรอ 3-6 เดือน และควรเปลี่ยนชนิดฟิลเลอร์ การป้องกันที่ดีคือเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์มีการเตรียมพร้อมรับมือภาวะฉุกเฉินและมี Hyaluronidase พร้อมใช้งานทันที