การฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ CC จึงจะเหมาะสม เป็นคำถามที่ผู้สนใจปรับรูปคางด้วยฟิลเลอร์มักสงสัย เนื่องจากปริมาณฟิลเลอร์ที่เหมาะสมส่งผลโดยตรงต่อความสวยงามและความเป็นธรรมชาติของรูปคางหลังทำหัตถการ โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์คางจะใช้ปริมาณตั้งแต่ 1-5 CC ขึ้นอยู่กับสภาพคางเดิม ความต้องการของผู้เข้ารับบริการ และดุลยพินิจของแพทย์ผู้ชำนาญการ
บทความนี้จะแนะนำปริมาณฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมในแต่ละกรณี ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณการฉีด รวมถึงข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์คาง
สารบัญ
ปริมาณฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกรณี
ปริมาณฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามแต่ละกรณี โดยทั่วไปมีดังนี้
กรณีคางสั้นหรือเล็กเล็กน้อย
- ปริมาณที่ใช้: 0.5-1 CC
- ผลลัพธ์: เพิ่มความยาวหรือขนาดของคางเล็กน้อย ช่วยเสริมความสมดุลให้กับใบหน้า
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีคางที่มีขนาดและรูปทรงใกล้เคียงกับที่ต้องการแล้ว เพียงต้องการปรับแต่งเล็กน้อย
กรณีคางสั้นหรือเล็กปานกลาง
- ปริมาณที่ใช้: 1-2 CC
- ผลลัพธ์: เพิ่มความยาวและปริมาตรของคางอย่างชัดเจน ช่วยปรับโครงหน้าให้สมดุลมากขึ้น
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีคางสั้นหรือเล็กปานกลาง ต้องการเพิ่มความชัดเจนให้กับรูปคาง
กรณีคางสั้นหรือเล็กมาก
- ปริมาณที่ใช้: 2-5 CC หรือมากกว่า
- ผลลัพธ์: เพิ่มความยาวและปริมาตรของคางอย่างมาก สร้างโครงหน้าใหม่ที่มีความชัดเจน
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีคางสั้นหรือเล็กมาก หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปคางอย่างชัดเจน
กรณีแก้ไขคางที่ไม่สมมาตรหรือไม่เรียบ
- ปริมาณที่ใช้: 0.5-1.5 CC
- ผลลัพธ์: ปรับแต่งคางให้สมมาตรและเรียบเนียนขึ้น
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาคางไม่สมมาตร มีแอ่ง หรือมีรอยหลุม
อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่กล่าวมาเป็นเพียงแนวทางทั่วไปเท่านั้น ปริมาณที่เหมาะสมที่สุดควรได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลังจากพิจารณาสภาพคางเดิม โครงสร้างใบหน้า และความต้องการของผู้เข้ารับบริการ
ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณฟิลเลอร์คางที่ใช้
การกำหนดปริมาณฟิลเลอร์คางที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่
โครงสร้างคางเดิม
คางที่สั้นหรือเล็กมากจะต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่าคางที่มีขนาดใกล้เคียงกับที่ต้องการอยู่แล้ว
โครงสร้างกระดูกใบหน้า
ใบหน้าที่มีโครงสร้างกระดูกแข็งแรงและชัดเจนอาจต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่าเพื่อให้เห็นความแตกต่าง ในขณะที่ใบหน้าที่มีกระดูกบอบบางอาจต้องใช้ปริมาณน้อยกว่า
สัดส่วนใบหน้าโดยรวม
การฉีดฟิลเลอร์คางควรคำนึงถึงสัดส่วนทั้งหมดของใบหน้า เช่น ความสูงของใบหน้า ขนาดของจมูกและริมฝีปาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุลและเป็นธรรมชาติ
ความต้องการและความคาดหวังของผู้เข้ารับบริการ
บางคนอาจต้องการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้
อายุและความยืดหยุ่นของผิว
ผิวที่มีความยืดหยุ่นดีสามารถรองรับปริมาณฟิลเลอร์ได้ดีกว่า ในขณะที่ผิวที่มีความยืดหยุ่นน้อยอาจต้องใช้ปริมาณที่น้อยลงเพื่อป้องกันการยืดตัวของผิวมากเกินไป
เพศ
โดยทั่วไป ผู้ชายมักต้องการคางที่มีขนาดใหญ่และเป็นเหลี่ยมมากกว่าผู้หญิง จึงอาจต้องใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากกว่า
ประสบการณ์ของแพทย์
แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงสามารถประเมินปริมาณที่เหมาะสมได้แม่นยำกว่า และอาจใช้เทคนิคการฉีดที่ช่วยประหยัดปริมาณฟิลเลอร์แต่ยังได้ผลลัพธ์ที่ดี
การฉีดฟิลเลอร์คางควรเริ่มต้นด้วยปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มในกรณีที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อป้องกันการใช้ปริมาณมากเกินไปจนทำให้คางดูไม่เป็นธรรมชาติ
ยี่ห้อของฟิลเลอร์มีผลต่อปริมาณที่ใช้และผลลัพธ์ที่ได้ ต่อไปนี้เป็นตารางเปรียบเทียบฟิลเลอร์ยี่ห้อต่างๆ ที่นิยมใช้สำหรับการฉีดคาง
ยี่ห้อและรุ่น ความหนาแน่น ปริมาณที่ใช้ ระยะเวลาที่อยู่ได้ คุณสมบัติเด่น เหมาะกับ
Juvederm Voluma สูง 1-3 CC 12-18 เดือน เพิ่มปริมาตรได้ดี คงรูปนาน การเพิ่มความชัดของโครงหน้า
Juvederm Volux สูงมาก 2-5 CC 12-24 เดือน พัฒนามาเฉพาะสำหรับคางและกราม การปั้นรูปคาง สร้างความชัดเจนสูง
Restylane Lyft สูง 1-3 CC 9-12 เดือน เพิ่มปริมาตรและโครงสร้าง การยกคางและเพิ่มปริมาตร
Restylane Defyne ปานกลาง-สูง 1-3 CC 9-12 เดือน ยืดหยุ่นดี เคลื่อนไหวตามธรรมชาติ บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก
Belotero Volume สูง 1-3 CC 8-12 เดือน กระจายตัวในเนื้อเยื่อได้ดี การเพิ่มปริมาตรแบบธรรมชาติ
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์คางยี่ห้อไหนดี? เปรียบเทียบยี่ห้อ คุณสมบัติ และราคา
การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นหัตถการที่ไม่ซับซ้อนและใช้เวลาไม่นาน แต่ก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์คาง
- งดยาต้านการอักเสบ: เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำและบวม
- แจ้งประวัติการแพ้: แจ้งแพทย์หากมีประวัติการแพ้ยาหรือสารใดๆ
- ทำความสะอาดใบหน้า: มาพบแพทย์ด้วยใบหน้าที่สะอาด ไม่แต่งหน้า
- ถ่ายภาพก่อนทำ: เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการฉีด
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์คาง
- ปรึกษาและวางแผน: แพทย์จะประเมินสภาพคางและใบหน้า พูดคุยถึงความต้องการและวางแผนการฉีด
- ทำความสะอาด: ทำความสะอาดผิวบริเวณคางด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- ทายาชา: ทายาชาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บปวด (บางคลินิกอาจฉีดยาชาเล็กน้อย)
- ทำเครื่องหมาย: แพทย์อาจทำเครื่องหมายบนคางเพื่อกำหนดจุดที่จะฉีด
- การฉีด: แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ตามปริมาณที่กำหนดไว้ โดยใช้เข็มหรือแคนนูล่า
- นวดและปรับแต่ง: หลังฉีด แพทย์จะนวดเบาๆ เพื่อกระจายฟิลเลอร์ให้สม่ำเสมอ
- ประคบเย็น: ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและเจ็บ
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์คาง
- ประคบเย็น: ประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเป็นระยะในวันแรก เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด: อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงแรก
- นอนหงาย: ในคืนแรกหลังการฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- งดออกกำลังกายหนัก: อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
- งดเข้าซาวน่าหรือสระว่ายน้ำ: อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำเฉพาะที่แพทย์ให้อย่างเคร่งครัด
ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นได้ทันที แต่อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในช่วงแรก ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 1-3 วัน และจะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายหลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์คางจะเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่ควรระวังในการฉีด มีดังนี้
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
- อาการบวม: พบได้บ่อย มักหายภายใน 2-3 วัน
- รอยช้ำ: บริเวณที่ฉีดอาจมีรอยช้ำ มักหายภายใน 1-2 สัปดาห์
- อาการแดงและเจ็บ: เป็นอาการปกติในช่วงแรก มักหายภายใน 1-2 วัน
- คางไม่สมมาตร: อาจเกิดขึ้นหากการกระจายฟิลเลอร์ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งสามารถแก้ไขได้
ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่รุนแรง
- การอุดตันของเส้นเลือด: เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากเกิดอาการปวดรุนแรงผิดปกติ ผิวซีดลง ควรรีบพบแพทย์ทันที
- การติดเชื้อ: หากมีไข้ ปวดรุนแรง บวมแดง หรือมีหนองไหลออกมา ควรพบแพทย์ทันที
- อาการแพ้: มีผื่น คัน บวม หรืออาการแพ้รุนแรงอื่นๆ
- ฟิลเลอร์เป็นก้อน: ฟิลเลอร์อาจรวมตัวเป็นก้อนที่สามารถรู้สึกได้หรือมองเห็นได้
ข้อควรระวังและข้อห้าม
ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์คางหากอยู่ในกรณีเหล่านี้
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
- มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้าหรือคาง
- มีประวัติการแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์
- มีโรคภูมิแพ้รุนแรงหรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- มีประวัติการเกิดแผลเป็นคีลอยด์
ควรระวังในกรณี
- มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด
- กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
- มีประวัติโรคออโตอิมมูน
- เพิ่งทำทรีทเมนต์ผิวอื่นๆ เช่น เลเซอร์ หรือการลอกผิว
การเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์คางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงและเพิ่มโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วเจ็บไหม?
การฉีดฟิลเลอร์คางมีความเจ็บปวดน้อยถึงปานกลาง เนื่องจากมีการทายาชาก่อนการฉีด ส่วนใหญ่ผู้เข้ารับบริการจะรู้สึกเพียงแรงกดหรือแรงดันเล็กน้อยระหว่างการฉีด
ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วเห็นผลทันทีหรือไม่?
ใช่ การฉีดฟิลเลอร์คางจะเห็นผลทันทีหลังการฉีด แต่อาจมีอาการบวมเล็กน้อยในช่วงแรก ซึ่งจะค่อยๆ ลดลงภายใน 1-3 วัน และจะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายหลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
ฉีดฟิลเลอร์คางแล้วต้องพักฟื้นนานไหม?
ไม่นาน การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นหัตถการที่ใช้เวลาน้อยและมีระยะพักฟื้นสั้น คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมปกติได้ทันทีหลังการฉีด แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่อาจกระทบกระเทือนบริเวณที่ฉีดใน 24-48 ชั่วโมงแรก
บทสรุป
การฉีดฟิลเลอร์คางใช้กี่ CC เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสภาพคางเดิม ความต้องการของผู้เข้ารับบริการ และดุลยพินิจของแพทย์ที่มีประสบการณ์ โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์คางจะใช้ปริมาณตั้งแต่ 1-5 CC โดยคางที่สั้นหรือเล็กเล็กน้อยอาจใช้เพียง 0.5-1 CC คางที่สั้นหรือเล็กปานกลางอาจใช้ 1-2 CC และคางที่สั้นหรือเล็กมากอาจต้องใช้ 2-5 CC หรือมากกว่า
ชนิดของฟิลเลอร์ก็มีผลต่อปริมาณที่ใช้ การเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญการและประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและปลอดภัย เลือกชนิดของฟิลเลอร์ที่เหมาะกับสภาพคางและความต้องการของคุณ รวมถึงมีเทคนิคการฉีดที่ช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงต่างๆ นอกจากนี้ การดูแลหลังการฉีดอย่างถูกต้องก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ฟิลเลอร์คางอยู่ได้นานและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด