ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน | วิธีลดบวมและดูแลที่ถูกต้อง

หลายคนที่กำลังพิจารณาหรือเพิ่งฉีดฟิลเลอร์ปากมักจะสงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน จึงจะหายและกลับสู่สภาพปกติ การบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นอาการปกติที่พบได้ทั่วไป แต่การรู้จักดูแลอย่างถูกต้องจะช่วยลดระยะเวลาการบวมและให้ผลลัพธ์ที่สวยงามมากขึ้น บทความนี้จะแนะนำไทม์ไลน์การฟื้นฟู วิธีการดูแล และเทคนิคต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณผ่านช่วงเวลาหลังฉีดฟิลเลอร์ปากได้อย่างราบรื่น

สารบัญ

ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน

ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน มีคำตอบที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วบวมจะเป็นไปตามลำดับเวลาที่สามารถคาดการณ์ได้

ช่วงแรก 1-2 วัน 

เป็นช่วงที่คุณจะประสบกับการบวมมากที่สุด ในช่วงนี้ริมฝีปากจะบวมถึง 80-100% ของการบวมทั้งหมด ทำให้ริมฝีปากดูใหญ่กว่าปกติถึง 2-3 เท่า คุณอาจรู้สึกตึงและไม่สบายบริเวณริมฝีปาก รวมถึงอาจพบรอยเข็มเล็กๆ และรอยเขียวช้ำบางจุด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้

เข้าสู่วันที่ 3-4 

คุณจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น การบวมจะลดลงอย่างชัดเจนประมาณ 50-60% รูปทรงของริมฝีปากเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น ความรู้สึกตึงและไม่สบายเริ่มบรรเทาลง การกินอาหารกลับมาสะดวกขึ้นกว่าเดิม และคุณจะเริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อสื่อสารกับผู้อื่น

ในช่วงวันที่ 5-7 

การบวมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียง 20-30% เท่านั้น ริมฝีปากเริ่มดูเป็นธรรมชาติและใกล้เคียงกับผลลัพธ์สุดท้ายที่คาดหวัง คุณสามารถใช้ลิปสติกได้แล้วโดยไม่มีปัญหา และหากมีรอยเขียวช้ำก็จะเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด

ในสัปดาห์ที่สอง หรือวันที่ 8-14 

การบวมจะหายสนิทหรือเหลือเพียง 5-10% ซึ่งแทบจะสังเกตไม่เห็น นี่คือช่วงที่คุณจะได้เห็นผลลัพธ์สุดท้ายของการฉีดฟิลเลอร์อย่างแท้จริง ริมฝีปากจะดูเป็นธรรมชาติ นุ่มนวล และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความบวมของริมฝีปาก

ระยะเวลาที่ ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเท่านั้น แต่มีปัจจัยหลายประการที่เราสามารถเข้าใจและควบคุมได้ การรู้จักปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมตัวและปรับการดูแลให้เหมาะสมกับสภาพของตัวเอง

ปัจจัยส่วนบุคคลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

อายุ 

เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นฟู เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ระบบการไหลเวียนเลือดและการระบายน้ำเหลืองทำงานช้าลง ผิวหนังมีความยืดหยุ่นน้อยลง และการซ่อมแซมเนื้อเยื่อใช้เวลานานขึ้น คนอายุ 20-30 ปี มักจะบวม 3-5 วัน ในขณะที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปอาจบวมนาน 7-10 วัน

สภาพผิวธรรมชาติ 

แต่ละคนก็มีผลอย่างมาก คนที่มีผิวบาง ผิวแพ้ง่าย หรือเป็นผิวแสงแดดง่าย มักจะมีปฏิกิริยาการอักเสบรุนแรงกว่า ทำให้บวมมากและนานกว่าคนที่มีผิวหนาและแข็งแรง นอกจากนี้คนที่มีประวัติการแพ้ยาหรือเครื่องสำอางในอดีต ก็มีโอกาสบวมมากกว่าปกติ

ฮอร์โมนในร่างกาย 

โดยเฉพาะในผู้หญิงมีอิทธิพลอย่างมาก ช่วงก่อนประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน ร่างกายมีแนวโน้มกักเก็บน้ำมากขึ้น ทำให้การบวมรุนแรงและใช้เวลานานกว่าปกติ หากต้องการฉีดฟิลเลอร์ ช่วงที่เหมาะสมคือหลังประจำเดือนผ่านไป 5-7 วัน

ปัจจัยจากกระบวนการฉีด

ปริมาณฟิลเลอร์ 

ปริมาณที่ใช้เป็นตัวกำหนดสำคัญ การฉีดปริมาณมาก เช่น 1-2 cc จะทำให้เนื้อเยื่อต้องปรับตัวมากกว่าการฉีดเพียง 0.5 cc การบวมจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณที่ฉีด นอกจากนี้การฉีดครั้งแรกมักบวมมากกว่าการเติมเพิ่ม เพราะเนื้อเยื่อยังไม่เคยปรับตัว

ยี่ห้อและชนิดของฟิลเลอร์ 

มีผลต่อการบวมอย่างมีนัยสำคัญ ฟิลเลอร์ที่มีโมเลกุลใหญ่ เช่น Juvederm Ultra Plus มักทำให้บวมมากกว่าฟิลเลอร์โมเลกุลเล็ก เช่น Juvederm Volbella หรือ Restylane Kysse ที่ออกแบบมาเพื่อริมฝีปากโดยเฉพาะ ฟิลเลอร์ที่มีการเชื่อมโยงสูง (High Cross-linking) เช่น Juvederm Voluma หรือ Restylane Lyft จะคงตัวได้นานแต่อาจทำให้บวมมากในช่วงแรก

ในทางตรงกันข้าม ฟิลเลอร์รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Vycross เช่น Juvederm Volift หรือเทคโนโลยี NASHA เช่น Restylane Defyne จะมีการบวมน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า ฟิลเลอร์ยี่ห้อ e.p.t.q จากเกาหลี หรือ Neuramis จากไทย มักให้ผลการบวมที่อ่อนโยนกว่าฟิลเลอร์ยุโรป แต่อายุการใช้งานอาจสั้นกว่าเล็กน้อย การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับริมฝีปากจึงต้องพิจารณาทั้งผลลัพธ์ที่ต้องการและความพร้อมในการรับมือกับการบวม

ความชำนาญของแพทย์ 

เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก แพทย์ที่มีประสบการณ์จะเลือกเข็มที่เหมาะสม ฉีดในความลึกที่ถูกต้อง และใช้เทคนิคที่ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ การฉีดด้วยแคนูล่า (Cannula) มักทำให้บวมน้อยกว่าการฉีดด้วยเข็มธรรมดา เพราะลดการทิ่มแทงเส้นเลือดเล็ก ๆ

ความลึกของการฉีด 

ระดับชั้นผิวก็มีผลอย่างชัดเจน การฉีดลึกในชั้นใต้เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อมักทำให้บวมน้อยกว่าการฉีดตื้นในชั้นผิวหนัง เพราะชั้นลึกมีการไหลเวียนเลือดดีกว่าและการระบายน้ำเหลืองทำงานได้ดีกว่า

ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้

ปัจจัยภายนอกที่สามารถที่ควบคุมให้ผลลัพธ์ออกมามีคุณภาพมากยิ่งขึ้นได้ มีปัจจัยดังนี้

สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม 

มีอิทธิพลมากกว่าที่คิด อากาศร้อนชื้นทำให้เส้นเลือดขยายตัว การไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บวมมากและนานขึ้น ในทางตรงกันข้าม อากาศเย็นจะช่วยลดการบวม ดังนั้นการฉีดในช่วงฤดูหนาวหรือในห้องแอร์จึงอาจมีผลดีกว่า

การดูแลหลังฉีด 

เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เราควบคุมได้ การประคบเย็นอย่างถูกต้อง การหลีกเลี่ยงความร้อน การยกหัวสูงขึ้นนอน และการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดขึ้นหน้า สามารถลดระยะเวลาการบวมได้ถึง 30-50%

อาหารและเครื่องดื่ม

มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการบวม อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารกระป่อง อาหารดอง หรือขนมขบเคี้ยว จะทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น แอลกอฮอล์จะขยายเส้นเลือดและเพิ่มการรั่วซึมของของเหลว ส่วนการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยระบายสารพิษและลดการอักเสบ

ยาและอาหารเสริม

 ที่รับประทานประจำอาจส่งผลต่อการบวม ยาแอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา หรือยาสมุนไพรบางชนิด มีสรรพคุณลดการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดเขียวช้ำและบวมได้ง่ายขึ้น ควรหยุดยาเหล่านี้ก่อนฉีด 1-2 สัปดาห์ตามคำแนะนำของแพทย์

อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานแค่ไหน? | วิธียืดอายุฟิลเลอร์ปากให้คงอยู่นาน

วิธีลดอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก

เพื่อให้ ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน ให้น้อยที่สุด ควรปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้

วิธีลดบวมทันที (24 ชั่วโมงแรก)

  • ประคบเย็น: ใช้ผ้าเปียกน้ำเย็นประคบ 10-15 นาที/ครั้ง ทุก 2 ชั่วโมง
  • ยกหัวสูง: นอนหัวสูงเพื่อลดการสะสมของเลือด
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: ไม่ดื่มของร้อน ไม่อาบน้ำร้อน
  • ดื่มน้ำเปล่า: ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยในการระบายน้ำ

ยาและอาหารเสริมที่ช่วย

  • ยาแก้อักเสบ: พาราเซตามอล หรือไอบูโปรเฟน (ตามคำแนะนำแพทย์)
  • วิตามินซี: ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • บรมไมเลน: ลดการอักเสบและช้ำ
  • อาร์นิกา: ครีมสมุนไพรลดบวมช้ำ

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • แอลกอฮอล์: เพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้บวมมากขึ้น
  • การออกกำลังกาย: หลีกเลี่ยง 48 ชั่วโมงแรก
  • อาหารเค็ม: ทำให้กักเก็บน้ำ
  • การสูบบุหรี่: ชะลอการฟื้นฟู

การดูแลอย่างถูกต้องในแต่ละวัน

วันที่ 1-2: ดูแลเข้มข้น

  • ประคบเย็นทุก 2 ชั่วโมง
  • กินอาหารอ่อน หลีกเลี่ยงการเคี้ยวแรง
  • นอนหัวสูง ใช้หมอนเพิ่ม 2-3 ใบ
  • ไม่แตะหรือนวดริมฝีปาก
  • ดื่มน้ำผ่านหลอดแก้ว

วันที่ 3-4: เริ่มผ่อนคลาย

  • ลดการประคบเย็นเหลือ 3-4 ครั้ง/วัน
  • เริ่มกินอาหารปกติได้ แต่ยังระวังการเคี้ยว
  • ทาลิปบาล์มที่ไม่มีสี
  • หลีกเลี่ยงการยิ้มกว้างหรือใช้สีหน้าเกินไป

วันที่ 5-7: เริ่มใช้เครื่องสำอาง

  • สามารถใช้ลิปสติกได้แล้ว
  • เริ่มนวดเบาๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
  • กลับไปออกกำลังกายเบาๆ ได้
  • ยังคงหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

สัญญาณเตือนและเมื่อไหร่ควรพบแพทย์

แม้ว่า ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน จะเป็นเรื่องปกติ แต่ควรระวังสัญญาณเหล่านี้

สัญญาณอันตราย

  • บวมมากผิดปกติ: บวมเกิน 7 วันโดยไม่ลดลง
  • เจ็บปวดรุนแรง: ปวดมากและไม่ลดลงด้วยยาแก้ปวด
  • มีไข้: อุณหภูมิกายสูงกว่า 38 องศา
  • หนองหรือน้ำเหลือง: มีของเหลวไหลออกจากจุดที่ฉีด
  • ผิวเปลี่ยนสี: ขาว ม่วง หรือดำ บริเวณที่ฉีด

เมื่อไหร่ควรติดต่อแพทย์

  • บวมไม่ลดลงหลัง 5 วัน
  • เกิดอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่น คัน หายใจลำบาก
  • ริมฝีปากเสียสมดุลหรือเบี้ยวผิดรูป
  • รู้สึกว่ามีก้อนแข็งในริมฝีปาก

บทสรุป

ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน โดยทั่วไปจะเป็นระยะเวลา 7-14 วัน โดยบวมมากที่สุดใน 2-3 วันแรก และค่อยๆ ลดลงจนหายสนิทในสัปดาห์ที่สอง การดูแลอย่างถูกต้องด้วยการประคบเย็น การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และการรับประทานยาตามคำแนะนำจะช่วยลดระยะเวลาการบวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม หากพบอาการผิดปกติหรือบวมนานเกินไป ควรปรึกษาแพทย์ทันที การเตรียมตัวที่ดีและการดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้ริมฝีปากที่สวยงามและเป็นธรรมชาติตามที่ต้องการ

หมอฉีดฟิลเลอร์ที่ดี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า