ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? เป็นคำถามยอดฮิตที่พบบ่อยในกลุ่มคนที่มีปัญหาร่องใต้ตาลึก ถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ หรือผิวใต้ตาที่ดูอ่อนล้า เพราะบริเวณใต้ตาเป็นพื้นที่ที่บอบบางและมีความซับซ้อน มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงต้องใช้ความพิถีพิถันมากกว่าพื้นที่อื่นๆ บนใบหน้า แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพราะเห็นผลไว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น แต่หลายคนก็ยังกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยเรื่อง ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม พร้อมให้ข้อมูลที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย
สารบัญ
ฟิลเลอร์ใต้ตาจะปลอดภัยหรืออันตราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาด้วยฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) โดยแพทย์ผู้ชำนาญการ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน จะมีความปลอดภัยสูง ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองในประเทศไทยคือชนิดกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายตามธรรมชาติ สามารถสลายได้เองตามเวลา และที่สำคัญสามารถสลายทิ้งได้ทันทีด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) หากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือไม่พอใจผลลัพธ์
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา มีดังนี้
คุณภาพของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย.
- ฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว หรือสารเติมเต็มชนิดอื่นที่ไม่ใช่ HA เช่น ซิลิโคนเหลว พาราฟิน
ความเชี่ยวชาญของแพทย์
- แพทย์ที่ผ่านการอบรมและมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- แพทย์ที่มีความรู้เรื่องกายวิภาคของใบหน้าและตา
- “หมอกระเป๋า” หรือผู้ที่ไม่ใช่แพทย์แต่รับฉีดฟิลเลอร์
มาตรฐานของสถานพยาบาล
- คลินิกที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
- ความสะอาดของห้องทำหัตถการและอุปกรณ์
- การเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน
สภาพร่างกายของผู้รับการฉีด
- โรคประจำตัว การแพ้ยา
- การใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ประวัติการติดเชื้อหรือมีปัญหาผิวหนังบริเวณใต้ตา
ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แม้จะทำโดยแพทย์ผู้ที่ผ่านการอบรมด้านฟิลเลอร์โดยตรงและใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพก็ตาม
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้กี่เดือน? อยากให้อยู่นานต้องรู้จักเลือกและดูแลอย่างไร
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ตั้งแต่ผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่รุนแรง ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้ชำนาญการหรือใช้ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน
ผลข้างเคียงทั่วไป (ไม่รุนแรง)
- อาการบวม – เป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นได้หลังการฉีด มักจะรุนแรงที่สุดใน 24-48 ชั่วโมงแรก และค่อย ๆ ลดลง
- รอยช้ำ – เกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตก จะแสดงเป็นรอยช้ำสีม่วงคล้ำหรือสีน้ำเงิน และจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว เหลือง และหายไปใน 7-14 วัน
- ผิวหนังแดง – เป็นปฏิกิริยาอักเสบเฉพาะที่ เกิดทันทีหลังฉีดและคงอยู่ 2-3 วัน
- อาการระบม – ความรู้สึกเจ็บบริเวณที่ฉีด มักจะรุนแรงในช่วง 24 ชั่วโมงแรกและค่อยๆ ทุเลาลงใน 3-5 วัน
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด (Vascular Occlusion) – เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุด เกิดจากสารฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในเส้นเลือดแดง โดยเฉพาะในบริเวณใต้ตาซึ่งมีเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงลูกตาและผิวหนังจำนวนมาก อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรง
- เนื้อเยื่อตาย (Tissue Necrosis)
- ตาบอด (Blindness) หากสารฟิลเลอร์ไปอุดตันเส้นเลือดที่จอประสาทตา
- การติดเชื้อ – แม้จะพบได้ไม่บ่อยแต่มีความรุนแรง สามารถเกิดได้ทั้งในระยะเฉียบพลัน (ภายใน 24-72 ชั่วโมง) และระยะยาว (หลายสัปดาห์หรือหลายเดือน)
- อาการแพ้ – ตั้งแต่การแพ้เฉียบพลันทันทีหลังฉีด ไปจนถึงการแพ้ที่เกิดขึ้นช้าหลายวันหรือหลายสัปดาห์ อาจแสดงออกตั้งแต่ผื่นลมพิษ บวมแดงคัน ไปจนถึงภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
- การเกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (Granuloma) – เป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อสารแปลกปลอม อาจเกิดหลังจากการฉีดหลายเดือนหรือหลายปี และมักเกิดกับฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน
- ใต้ตาเขียวคล้ำ (Tyndall Effect) – ผิวใต้ตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมเขียว เกิดจากการฉีดฟิลเลอร์ในระดับตื้นเกินไป
หากพบความผิดปกติใด ๆ ให้รีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรรอดูอาการเอง เพราะในกรณีของการอุดตันเส้นเลือด ต้องได้รับการรักษาภายใน 90 นาทีเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นถาวร
เลือกคลินิกและแพทย์ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไรให้ปลอดภัย
การเลือกคลินิกและแพทย์ที่ใช่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
1. การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน
- ตรวจสอบใบอนุญาตคลินิก – คลินิกต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้องจากกระทรวงสาธารณสุข มีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก
- มาตรฐานด้านความสะอาด – ห้องทำหัตถการต้องสะอาด อุปกรณ์ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐาน
- ความพร้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน – มีอุปกรณ์และยาฉุกเฉินพร้อมใช้งาน รวมถึงเอนไซม์สำหรับสลายฟิลเลอร์ในกรณีเกิดภาวะแทรกซ้อน
- สถานที่ตั้ง – ควรเป็นสถานที่ที่น่าเชื่อถือ เช่น ในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน ไม่ใช่การฉีดตามบ้านหรือคอนโด
2. การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพ – แพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ยังไม่หมดอายุ สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของแพทยสภา
- ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง – ควรเป็นแพทย์ที่ผ่านการอบรมเฉพาะทางด้านความงามและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ความรู้เรื่องกายวิภาค – แพทย์ควรมีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของใบหน้าและตา เพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดในตำแหน่งที่มีเส้นเลือดสำคัญ
- ประสบการณ์และผลงาน – ควรดูตัวอย่างผลงานก่อน-หลังของผู้ที่เคยฉีดกับแพทย์ท่านนั้น
3. การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน
- ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. – ในประเทศไทย ฟิลเลอร์ที่ได้รับการรับรองคือชนิด Hyaluronic Acid (HA) เท่านั้น
- ดูผลิตภัณฑ์ขณะทำการรักษา – แพทย์ควรแกะกล่องใหม่ต่อหน้าคุณ
- ตรวจสอบเลข Lot. ของผลิตภัณฑ์ – สามารถนำไปตรวจสอบกับบริษัทผู้นำเข้าได้
4. การประเมินความน่าเชื่อถือของคลินิก
- รีวิวและประสบการณ์จากผู้ใช้บริการจริง – ควรดูรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น Google Reviews, Facebook Reviews หรือเว็บบอร์ดที่น่าเชื่อถือ
- ความโปร่งใสด้านราคาและบริการ – คลินิกควรแจ้งราคาที่ชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง
- การให้คำปรึกษาก่อนทำ – แพทย์ควรให้คำปรึกษาและอธิบายถึงข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง และทางเลือกอื่นๆ อย่างครบถ้วน
- การติดตามผลหลังทำ – คลินิกควรมีการติดตามผลและมีช่องทางติดต่อในกรณีฉุกเฉิน
การเตรียมตัวที่ดีและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนและทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- งดยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดวิตามินและอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน E, Fish Oil, Ginkgo Biloba 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำและอาการบวม
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol, AHA, BHA และสารผลัดเซลล์ผิวอื่นๆ อย่างน้อย 3-5 วันก่อนทำ เพื่อลดการระคายเคืองของผิว
- แจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่กำลังใช้อยู่แก่แพทย์
- ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือมีแนวโน้มเกิดแผลเป็นคีลอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์
การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีด – ประคบเย็น 15-20 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมงในวันแรก เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด – ให้ฟิลเลอร์อยู่ในตำแหน่งที่แพทย์ฉีด ไม่ควรนวด กด หรือบีบบริเวณนั้น เว้นแต่แพทย์จะแนะนำ
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก – งดการออกกำลังกายหนัก แพทย์อาจแนะนำให้งด 24-48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน – ไม่อบซาวน่า อบไอน้ำ หรืออาบน้ำร้อนจัด
- งดแอลกอฮอล์ – ควรงดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงหลังการฉีด
- งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ระคายเคือง – หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, Retinol เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- ป้องกันแสงแดด – ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์ – หากแพทย์แนะนำให้ทำอะไรเป็นพิเศษ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือการนวดเบาๆ ในบางกรณี ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังและเมื่อไหร่ควรพบแพทย์
ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังการฉีด ควรสังเกตอาการผิดปกติและรีบพบแพทย์ทันทีหากพบ
- อาการบวมรุนแรงผิดปกติหรือไม่ลดลงภายใน 3-5 วัน
- อาการปวดรุนแรงหรือปวดเพิ่มขึ้นหลังการฉีด 24-48 ชั่วโมง
- ผิวหนังเปลี่ยนสีขาวซีดหรือเขียวคล้ำผิดปกติ
- มีอาการแดง ร้อน บวม หรือมีหนองซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- มีอาการทางสายตาผิดปกติใดๆ
- มีก้อนหรือรอยนูนที่ผิดปกติ
- มีผื่นคัน หรืออาการแพ้ใดๆ
บทสรุป
ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม คำตอบคือ ไม่อันตรายหากดำเนินการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก อย. และทำในคลินิกที่ได้มาตรฐาน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการบวม รอยช้ำ เป็นก้อน ฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด หรือการติดเชื้อ
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่านี่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับปัญหาของคุณหรือไม่ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และอย่าเลือกคลินิกเพียงเพราะราคาถูกหรือโปรโมชั่นน่าดึงดูด การเลือกแพทย์และคลินิกที่มีคุณภาพ มีประสบการณ์ และมีมาตรฐานรับรอง จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย

