เลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อไหนดี? เป็นคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยเมื่อต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตาที่มีริ้วรอย รอยคล้ำ หรือถุงใต้ตา ที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเพลียและแก่กว่าวัย การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพราะเห็นผลเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด และฟื้นตัวไว แต่ด้วยฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อในท้องตลาด การเลือกให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณจึงสำคัญมาก
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อต่าง ๆ พร้อมข้อแนะนำในการเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณอย่างไรให้มีคุณภาพมากที่สุด
สารบัญ
ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณใต้ตาที่มีปัญหา เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ใต้ตาคล้ำ หรือถุงใต้ตา ด้วยคุณสมบัติของฟิลเลอร์ที่เป็นเนื้อเจล สามารถอุ้มน้ำและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดี จึงช่วยเติมเต็มให้ผิวเรียบเนียน และทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา
- ร่องน้ำตา ตาลึก ตาโหล
- ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ
- ริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา
- ถุงใต้ตา ไขมันใต้ตา
- ปัญหาใต้ตาจากการยุบตัวของกระดูก หรือจากพันธุกรรม
ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี? แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร?
การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งปัญหาเฉพาะของผิวคุณ ความต้องการ และคำแนะนำจากแพทย์ผู้ชำนาญการ ต่อไปนี้คือยี่ห้อฟิลเลอร์ชั้นนำที่นิยมใช้สำหรับบริเวณใต้ตา
- Restylane Perlane Lyft: เนื้อแข็ง มีความคงตัวสูง ไม่ฟู คงรูปได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับเติมโครงสร้างชั้นลึก อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Defyne: เนื้อเจลแข็งปานกลาง มีความยืดหยุ่นและอุ้มน้ำได้ดี เหมาะสำหรับเติมโครงสร้างใต้ตา อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Restylane Classic: เนื้อแข็ง เก็บรายละเอียดใต้ตาในผิวชั้นลึก เหมาะสำหรับคนผิวบาง อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Vital: เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียด ให้ผลลัพธ์เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Vital Light: เนื้อละเอียดมากที่สุด ใช้สำหรับเคสที่ผิวบางมาก เหมาะสำหรับการเติมใต้ตาชั้นตื้น อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Juvederm Voluma: เนื้อแข็ง ฟูปานกลาง ยืดหยุ่นสูง ให้ความเป็นธรรมชาติ ใช้เติมกระดูกใต้ตาในคนที่มีผิวมัน-ผิวผสม อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Juvederm Volux: เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง สำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก เหมาะกับการปรับโครงสร้างใบหน้า อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
- Juvederm Volite: เนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาชั้นตื้น เหมาะกับคนผิวบางแต่ไม่มากเกินไป อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Juvederm Vobella: เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับเก็บรายละเอียดบริเวณใต้ตา อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
Belotero
Belotero เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM Technology ที่โดดเด่นด้านความยืดหยุ่นและคงตัว สามารถใช้ฉีดแก้ปัญหาใต้ตาจากสาเหตุการทรุดตัวของกระดูก รุ่นที่แนะนำมีดังนี้
- Belotero Volume: เนื้อแข็ง มีความยืดหยุ่นและคงตัว เหมาะฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
- Belotero Soft: เนื้อละเอียด โมเลกุลเล็ก สามารถเก็บรายละเอียดได้ตาได้ดี เหมาะสำหรับฉีดใต้ตาโดยเฉพาะ อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Belotero Revive: เนื้อละเอียด มีส่วนประกอบของกลีเซอรอล ช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว เหมาะฉีดใต้ตา อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
e.p.t.q.
e.p.t.q. เป็นแบรนด์ฟิลเลอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงหลังเนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดีและมีราคาที่เข้าถึงได้ รุ่นที่เหมาะสำหรับใต้ตามีดังนี้
- e.p.t.q. S100: ใช้ฉีดปรับฐานช่วงไขมันใต้ตาชั้นลึก และตามแนวเส้นเอ็นแถวกระดูกเบ้าตา มีเนื้อฟูมาก เหมาะสำหรับเติมน้อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นก้อน อยู่ได้นานประมาณ 6-8 เดือน
- e.p.t.q. S500: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าแก้มทรุดร่วมกับปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย ใช้ฉีดปรับฐานช่วงหน้าแก้มในชั้นกระดูก หรือไขมันชั้นลึก เน้นการยกกระชับ อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน
การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข
- สำหรับเบ้าตาลึกหรือตาโหล: ควรเลือกฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เช่น Restylane Perlane Lyft, Juvederm Voluma, Belotero Volume หรือ e.p.t.q. S500 เพื่อเสริมโครงสร้างและทดแทนการยุบตัวของกระดูก
- สำหรับริ้วรอยใต้ตาเล็กๆ: ควรเลือกฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เช่น Restylane Vital Light, Juvederm Volite หรือ Belotero Soft
- สำหรับผิวบาง: ควรเลือกฟิลเลอร์ที่ไม่ฟูมาก เช่น Restylane Classic หรือ Belotero Soft เพื่อป้องกันการเกิดก้อนหรือรอยนูนหลังฉีด
- สำหรับถุงใต้ตาหย่อนคล้อย: ควรเลือกฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง เช่น Juvederm Volux หรือ Restylane Defyne
ราคาฟิลเลอร์ใต้ตาแต่ละยี่ห้อ
ราคาฟิลเลอร์ใต้ตาจะแตกต่างกันตามยี่ห้อ รุ่น และคลินิกที่ให้บริการ โดยทั่วไปมีราคาดังนี้
Restylane
ราคาประมาณ 9,900 – 16,900 บาทต่อ 1 CC
- Restylane Perlane Lyft: 12,000 บาท
- Restylane Vital Light: 12,000 บาท
- Restylane Defyne: 12,900 บาท
- Restylane Classic: 9,900 บาท
- Restylane Vital: 16,900 บาท
Juvederm
ราคาประมาณ 12,900 – 18,000 บาทต่อ 1 CC
- Juvederm Voluma: 12,900 บาท
- Juvederm Volite: 12,900 บาท
- Juvederm Volux: 18,000 บาท
Belotero
ราคาประมาณ 9,900 – 14,000 บาทต่อ 1 CC
- Belotero Volume: 9,900 บาท
- Belotero Revive: 14,000 บาท
- Belotero Soft: 9,900 บาท
e.p.t.q
ราคาประมาณ 9,900 บาทต่อ 1 CC
- e.p.t.q. S100: 9,900 บาท
- e.p.t.q. S500: 9,900 บาท
ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ปริมาณที่ใช้: โดยทั่วไป ฟิลเลอร์ใต้ตาใช้ประมาณ 2-4 CC จึงจะเห็นผลชัดเจน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา
- วิธีตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้: ควรตรวจสอบว่ามีเลขทะเบียน อย., มีเอกสารกำกับภาษาไทย, มีเลข Lot. ที่กล่อง ซอง และสติกเกอร์ และสามารถเช็กกับบริษัทที่นำเข้าได้
- ข้อควรระวัง: การฉีดใต้ตาควรทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น เพราะเป็นบริเวณที่ผิวบางและอ่อนไหว หากฉีดผิดวิธีอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น เป็นก้อน เขียวช้ำ หรือในกรณีร้ายแรงอาจเกิดการอุดตันเส้นเลือด
- การฉีดฟิลเลอร์ชั้นลึกและชั้นตื้น: การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ดีควรมีการฉีดแบ่งเป็นชั้น โดยชั้นลึกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งเพื่อซัพพอร์ตโครงสร้าง และชั้นตื้นใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มเพื่อเก็บรายละเอียด
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายไหม? เรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจฉีด
บทสรุป
การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาที่ดีที่สุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณ ทั้ง Restylane, Juvederm, Belotero และ e.p.t.q. ต่างก็เป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ โดย e.p.t.q. อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการที่จะช่วยวิเคราะห์ปัญหาผิวและเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ นอกจากการเลือกยี่ห้อที่ดีแล้ว การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย สวยงาม และเป็นธรรมชาติมากที่สุด